กล้อง Olympus Pen E-P2 ระบบ Micro Four-Thirds

กล้องดิจิตอลแบบใหม่ ระบบ Micro Four-Thirds ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับกล้องแบบ SLR ถ่ายภาพได้
สวยงาม โดยสามารถถอดเปลี่ยนเลนส์ได้ แต่มีขนาดเล็กลงมาก สะดวกในการพกพา ในขณะที่เขียน (6 พ.ย. 52)
มี 2 ยี่ห้อที่กำลังแข่งขันกันได้แก่ Olympus Pen E-P1 ซึ่งประกาศเปิดตัวเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2552 และ
ต่อมา Panasonic ได้ประกาศเปิดตัวกล้อง Panasonic DMC-GF1 เมื่อ 2 กันยายน 2552 โดยกล้องทั้ง
2 รุ่น มีความคล้ายกัน แต่จากการทดสอบโดยเว็บไซต์ dpreview ได้ระบุข้อเด่น ข้อด้อย ของแต่ละกล้องเอาไว้
อย่างละเอียด สรุปสั้นๆได้คือ กล้อง Panasonic GF1 ทำการโฟกัสได้เร็ว มีไฟช่วยในการโฟกัส มีแฟลชในตัว
แต่ภาพที่ถ่ายแบบ jpeg จะมี Dynamic Range ต่ำกว่าถ้าจะให้สวย ต้องถ่ายแบบ RAW สำหรับกล้อง
Olympus E-P1 นั้น โฟกัสได้ช้ากว่าเล็กน้อย ไม่มีไฟช่วยในการโฟกัส ไม่มีไฟแฟลชในตัว แต่ภาพถ่ายแบบ
jpeg จากการทดสอบของ dpreview มี Dynamic Range ดีกว่า

จากการทดสอบโดย dpreview ทำให้เห็นว่า ผู้ที่จะใช้กล้องแบบนี้ อาจจะต้องคิดมาก เพราะนอกจากจะมี
ราคาแพง เทียบเท่ากับกล้อง SLR รุ่น Entry Level ถึงรุ่นกลางๆ แล้ว ขณะนี้ยังมีเลนส์ให้เลือกใช้ไม่มาก
ที่มากับชุดกล้องแบบ Kit มีเลนล์ให้เลือกเพียง 2 แบบ แต่ในกลางปี 2553 จะมีเลนส์ของ Olympus ออกมา
อีก 2 แบบ

เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2552 หรือเพียง 5 เดือน หลังจากเปิดตัวกล้อง Olympus E-P1 รายนี้ก็ได้ประกาศ
เปิดตัวกล้อง Olympus Pen E-P2 เมื่อตรวจดูว่ามีอะไรใหม่ๆมาเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับรุ่น E-P1
ก็พบดังนี้

1. ปรับปรุง Hot-Shoe โดยเพิ่มเติมอุปกรณ์ช่องมองภาพ (External View Finder) ที่มีมุมรับภาพ 100%
และยกขึ้นในมุมเงยได้ 90 องศา โดยเพิ่มพอร์ทข้างใต้ Hot-Shoe และสามารถต่อไมโครโฟนภายนอกได้
โดยอุปกรณ์ View Finder เป็นชุดมาพร้อมกับกล้อง
2. ปรับปรุงเพิ่มระบบโฟกัสภาพต่อเนื่อง (AF Tracking) ซึ่งใช้ได้ทั้งภาพนิ่ง และวิดีโอ
3. เพิ่ม Art Filters อีก 2 แบบ
4. เพิ่มฟังชั่น i-Enhance ที่ช่วยเร่งสีให้จัดจ้านขึ้น
5. สามารถควบคุมการเล่น Slide Show ได้โดยผ่าน HDMI

สำหรับเรื่องที่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงก็คือ Olympus E-P2 ยังคงใช้จอ LCD ที่มีความละเอียด 230,000
พิกเซล ไม่มีไฟช่วยในการโฟกัส และไม่มีไฟแฟลชในตัว ซึ่งทาง Olympus คงจะมีเหตุผลในเรื่องดังกล่าว
เช่น เป็นการรักษารูปแบบการ Design เดิมๆ (Retro Design) ของกล้อง Olympus Pen เอาไว้ ส่วน
จอ LCD ถ้าดูได้ไม่ชัดในกรณีถ่ายภาพกลางแจ้ง ก็ให้ติด View Finder ดูได้ และการถ่ายภาพในที่มืดแสงน้อย
ก็อาจต้องการให้ตั้ง ISO สูงๆ ซึ่งอาจจะไม่ต้องการไฟแฟลช แต่ก็อาจมีปัญหาในการถ่ายภาพแบบที่เราต้อง
การใช้ไฟแฟลช แบบ Fill Flash ซึ่งแน่นอนว่า ต้องจัดหา External Flash เอาเอง ทำให้ต้องขนอุปกรณ์
พวกนี้ไปด้วย สำหรับเรื่องความเร็วในการโฟกัสนั้น ยังคงเหมือนเดิม

ในด้านราคานั้น ได้เพิ่มสูงขึ้นมาก จากเดิม E-P1 ราคาประมาณ 800 เหรียญสหรัฐ หรือ 29,900 บาท ใน
ประเทศไทย แต่รุ่น E-P2 ราคา 1,099 เหรียญสหรัฐ แพงขึ้น 37% ในประเทศไทยคงจะขายในราว 40,000
บาท โดยได้ช่องมองภาพภายนอก และเลนส์คิทหนึ่งตัว ระหว่าง ZUIKO Micro 4/3 14-42 mm f3.5-5.6
(เทียบ เท่า 28-84 mm กล้องฟิล์ม 35 มม.) หรือ เลนส์แพนเค้ก 17 mm f2.8

กำหนดวางตลาดในต่างประเทศ : มกราคม 2553 (แต่ได้เปิดตัวในงาน Photo fair 2009
ที่ ไบเทค บางนา แล้ว)


ความละเอียด 12.3 ล้านพิกเซล (Effective)
ใช้เซนเซอร์ 4/3" Hi-Speed Live MOS
จอ LCD ขนาด 3" ความละเอียด 230,000 พิกเซล
ขนาดภาพใหญ่ที่สุด 4032 x 3024 พิกเซล
อัตราส่วนของภาพ 4:3, 3:2, 16:9, 6:6
ฟอร์แมทของไฟล์ RAW, RAW+JPEG, JPEG, AVI Motion JPEG
ระบบออโต้โฟกัส : มี AF Tracking
ISO : Auto, 200 -3200, Manual 100 - 6400
Shutter Speed : 60-1/4000 sec
ถ่ายวิดีโอได้ด้วยความละเอียดสูงสุด 1280 x 720 และแบบ 640 x 480 พิกเซล 30 fps
ขนาด 121 x 70 x 36 มม. น้ำหนัก 335 กรัม (ไม่รวมแบตเตอรี่)
ถ้ารวมแบตเตอรี่ SD Card, View Finder และเลนส์ขนาด 14 - 42 มม. น้ำหนัก
รวม ประมาณ 580 กรัม

ความคิดเห็น